หากถามว่าในปัจจุบัน ใครคือปราการหลังตัวกลางอันดับหนึ่งของเมืองมนุษย์ ?
ผมสามารถตอบได้แบบไม่ต้องคิดมาก ขัดเขิน หรือกระดากรูปากว่า เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ นี่แหละ
ในสายตาของผม พี่เขาจัดเป็นเซ็นเตอร์แบ็คที่ครบเครื่อง มีทั้งลูก “บุ๋น” และ “บู๊” อยู่ในร่างเดียวกันแบบ ทู อิน วัน
สมัยก่อนตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คในแบบสากล (หมายความว่ายกเว้นของอังกฤษ) จะสามารถแยกย่อยบทบาทออกเป็น “สต๊อปเปอร์” กับ “สวีปเปอร์” ไม่ว่าจะในระบบ “แบ็คโฟร์” หรือ “หลังสาม“
เฉพาะอย่างยิ่งในระบบการเล่นแบบ 3-5-2 ของ เยอรมัน ที่จะต้องมีกองหลังในตำแหน่ง “สวีปเปอร์” หรือ “ลิเบอโร่” ที่เป็นเหมือนผู้บัญชาการทัพที่ใช้มันสมองในการอ่านเกม แล้วดักจังหวะ โดยได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเติมเกมรุกได้อย่างอิสระ
เมื่อนึกถึง “ลิเบอโร่” อันดับหนึ่งตลอดกาลของโลกนี้และดาวอังคาร ผมนึกถึง ฟร้านซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ ที่เปรียบเสมือน “ต้นแบบ” ให้นักเตะสายพันธุ์อินทรีโลหะรุ่นต่อๆมาอย่าง โลธาร์ มัทเธอุส, สเตฟาน เอฟเฟ่นแบร์ก และมัทธิอัส ซามเมอร์ เจริญรอยตาม ซึ่งจะสังเกตได้ว่าสุดยอดของผู้เล่นตำแหน่งนี้ล้วนเคยเป็นมิดฟิลด์มาก่อน
ตอนที่ดาวเตะดัตช์เจ้าของสมญา “งูเก็งก็อง” เลื้อยตูด จากกัลโช่ เซเรีย อา มาค้าแข้งให้ เชลซี ในพรีเมียร์ลีกใหม่ๆก็สวมตำแหน่งนี้ ด้วยเป็นความต้องการของตัวเองซะด้วย คืออยากเปลี่ยนมาเล่นเป็นกองหลังดูบ้างก็เลยยื่นคำขอต่อผู้จัดการทีมสิงห์บลูส์ และนาทีนั้นอย่าง เกล็น ฮ็อดเดิ้ล
รุด กุลลิท เป็นของอดีตกองหน้า – มิดฟิลด์ตัวรุก แถมยังเคยเล่นเป็นปีกขวาอีกต่างหาก เขาเข้ามาสวมบท “สวีปเปอร์” ให้ เชลซี ในระบบ 3-5-2 พลางโชว์ฟอร์มได้อย่างเหนือชั้นจนกลายเป็นสิ่งแปลกใหม่ในพรีเมียร์ลีก
สำหรับ “สต๊อปเปอร์”
หน้าที่ของกองหลังในตำแหน่งนี้คือการเข้าปะทะและอัดกระหน่ำคู่แข่งด้วยความหนักหน่วง เรียกว่าเป็น “ตัวชน” บางครั้งก็ต้องทำหน้าที่ตามประกบกองหน้าคู่แข่งแบบไปไหนไปด้วย เพื่อช่วยให้งานของ “สวีปเปอร์” ง่ายขึ้น
ขณะที่แผงแบ็คโฟร์แบบฟุตบอลอังกฤษขนานแท้และดั้งเดิมจวบจนกระทั่งยุคปัจจุบันจะยืนเรียงกันเป็นหน้ากระดาน ไม่ได้แบ่งหน้าที่แบบเฉพาะเจาะจงว่าใครเป็น “สต๊อปเปอร์” ใครเป็น “สวีปเปอร์” มันขึ้นอยู่กับจังหวะและสถานการณ์เฉพาะหน้าซะมากกว่า
สไตล์การเล่นของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เหมือนเอากองหลังในตำแหน่ง “สต๊อปเปอร์” กับ “สวีปเปอร์” มาเล่นฟัคกลิ้งเลิฟกันอย่างเมามันแล้วคลอดลูกออกมาเป็นตัวเขานี่แหละ
บางครั้งเราจะเห็นว่าชิงจังหวะเข้าบอลพลางอัดคู่แข่งด้วยความหนักหน่วงแบบ “สต๊อปเปอร์” บางครั้งเขาจะใช้การอ่านเกมแล้วตัดบอล หรือเมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งแบบ 1 ต่อ 1 จะใช้การ “ดีเลย์” เพื่อชะลอความเร็วแล้วหาจังหวะสกัดแบบไม่พรวดพราด
ทีนี้ถามว่า…แล้วทำไม เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ถึงถูกนำไปเปรียบเทียบกับ เนมานย่า วิดิช ทั้งที่จะว่าไป ปราการหลังเจ้าของสมญา “เซอร์บิเนเตอร์” ไม่ใช่กองหลังยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งตลอดกาลของ แมนฯ ยูไนเต็ด สักหน่อย
เซ็นเตอร์แบ็คอันดับหนึ่งตลอดกาลของทีมปีศาจแดงที่มีการจัดอันดับกันมาคือ ริโอ เฟอร์ดินานด์
ดังนั้นถ้าจะเทียบกันจริงๆว่าใครเก่งกว่าก็ควรจะเอา ริโอ เฟอร์ดินานด์ ไปเทียบซะมากกว่า